เปิดรับการเสนอชื่อแล้ว: รางวัล Stevie® Awards ครั้งแรกสำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี

รางวัลธุรกิจชั้นนำของโลกใหม่ล่าสุดนี้จะเฉลิมฉลองความสำเร็จที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทั่วโลก

แฟร์แฟกซ์ เวอร์จิเนีย, March 28, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — The Stevie® Awards ผู้จัดงานประกาศรางวัลธุรกิจชั้นนำของโลก ได้เปิดการแข่งขันเข้าชิงรางวัลระดับนานาชาติครั้งที่ 9 ในรางวัล Stevie® Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี โปรแกรมรางวัล Stevie Awards ใหม่นี้เฉลิมฉลองความสำเร็จอันโดดเด่นของบุคคล ทีมงาน และองค์กรที่กำหนดอนาคตของเทคโนโลยีในทุกภาคส่วนอุตสาหกรรม

บุคคลและองค์กรทั่วโลกสามารถมีสิทธิ์เข้าร่วมได้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชน องค์กรแสวงหาผลกำไรและไม่แสวงหากำไร และองค์กรทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก โครงการนี้จะเชิดชูผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี องค์กร ความสำเร็จ ผลิตภัณฑ์ และบริการที่ดีที่สุดในโลกตั้งแต่ต้นปี 2022

กำหนดเวลาในการเข้าร่วมก่อนใครพร้อมรับส่วนลดค่าธรรมเนียมแรกเข้าคือวันที่ 2 พฤษภาคม กำหนดเวลาในการเข้าร่วมคือวันที่ 30 พฤษภาคม แต่จะสามารถทำการเข้าร่วมล่าช้าได้จนถึงวันที่ 28 มิถุนายน โดยต้องมีการชำระค่าธรรมเนียมล่าช้า สามารถดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ www.StevieAwards.com/tech

Michael Gallagher ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของ Stevie Awards ได้แสดงความกระตือรือร้นเกี่ยวกับความสำเร็จครั้งสำคัญของรางวัล Stevie Awards “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศการเปิดการแข่งขัน Stevie Awards ครั้งล่าสุดของเรา โดยจะเป็นรางวัล Stevie Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี เนื่องในโอกาสที่เราเฉลิมฉลองครบรอบ 22 ปีนับตั้งแต่การริเริ่มการแข่งขัน Stevie Awards ครั้งแรกในปี 2002 การเปิดตัวครั้งนี้ได้เติมเต็มวิสัยทัศน์ที่รอคอยมานาน ด้วยหมวดหมู่ที่แตกต่างจากโปรแกรมที่มีอยู่ของเรา การแข่งขันครั้งนี้จึงมอบโอกาสพิเศษสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจขนาดเล็ก องค์กร และบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้า เพื่อนำเสนอความสำเร็จด้านเทคโนโลยีของตนในเวทีระดับโลกอันทรงเกียรติ”

โปรแกรมมีหมวดหมู่ต่าง ๆ มากกว่า 250 หมวดหมู่ โดยครอบคลุมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี 20 กลุ่ม พร้อมชุดหมวดหมู่ที่กว้างขึ้นสำหรับหมวดหมู่เทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดกลุ่มหมวดหมู่ต่าง ๆ ได้รวมถึงหมวดหมู่ดังต่อไปนี้:

ในแต่ละปี การแข่งขัน Stevie Awards ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากกว่า 12,000 รายชื่อจากองค์กรทุกประเภทและทุกขนาดในกว่า 70 ประเทศ ผู้ได้รับรางวัล Stevie Award ในอดีต ได้แก่ Cisco Systems, Inc., DP DHL, EY Global Services Limited, HCLTech, IBM Corporation, LLYC, Proctor & Gamble, Samsung, Toyota, Verizon, Viettel Group และอีกมากมาย

คณะกรรมการตัดสินที่ประกอบด้วยผู้บริหารมากกว่า 100 คนทั่วโลกจะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะรางวัล Stevie Award ในระดับ Gold, Silver และ Bronze จะมีการประกาศรายชื่อผู้ชนะต่อสาธารณะในวันที่ 7 สิงหาคม และเฉลิมฉลองความสำเร็จในงานกาล่าร่วมกันกับผู้ชนะรางวัล Stevie® Awards สำหรับนายจ้างที่ยอดเยี่ยมประจำปีครั้งที่ 9 ในวันที่ 16 กันยายน ที่โรงแรม Marriott Marquis นครนิวยอร์ก

เกี่ยวกับ Stevie Awards
Stevie Awards จัดขึ้นโดยมีเก้าโปรแกรม ซึ่งได้แก่: รางวัล Stevie Awards ในเอเชียแปซิฟิก รางวัล Stevie Awards ในเยอรมัน รางวัล Stevie Awards ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ The American Business Awards®, The International Business Awards® รางวัล Stevie Awards สำหรับนายจ้างที่ยอดเยี่ยม, รางวัล Stevie Awards สำหรับสตรีในภาคธุรกิจ รางวัล Stevie Awards ในด้านการขายและการบริการลูกค้า และโปรแกรม Stevie Awards ใหม่ล่าสุด ซึ่งได้แก่รางวัล Stevie Awards สำหรับความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยี มีการส่งชื่อเข้าประกวดในการแข่งขันชิงรางวัล Stevie Awards มากกว่า 12,000 ชื่อต่อปีจากองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 70 ประเทศ Stevies ยกย่องผลงานที่โดดเด่นในสถานที่ทำงานทั่วโลก โดยให้เกียรติองค์กรทุกประเภทและทุกขนาดและบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรางวัล Stevie Awards ได้ที่ http://www.StevieAwards.com

ติดต่อ:
Nina Moore
+1 (703) 547-8389
Nina@StevieAwards.com

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่ https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/91ea8fc2-fd10-4e4b-ac13-67f99083a926

GlobeNewswire Distribution ID 9080435

EBC Financial Group ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบจาก Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA)

CIMA หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของโลกที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เป็นมืออาชีพ มีประสิทธิภาพ และมั่นคง

EBC Financial Group – ใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจาก CIMA
EBC Financial Group ได้รับใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจากสำนักงานเงินตราหมู่เกาะเคย์แมน (CIMA)

HONG KONG, March 28, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — EBC Financial Group (Cayman) Limited ได้รับใบอนุญาตด้านกฎระเบียบเต็มรูปแบบอนุมัติโดย Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA) โดยมีหมายเลขกำกับดูแล คือ 2038223 ซึ่งทาง EBC Group นั้นได้รับอนุญาตและควบคุมโดยเขตอำนาจศาลทางการเงินที่สำคัญหลายแห่งทั่วโลกอยู่แล้ว ใบอนุญาต CIMA ถือเป็นอีกก้าวสำคัญหลังจากที่ EBC Group ได้รับใบอนุญาต FCA และ ASIC ภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เข้มงวดของ CIMA นั้น EBC จะให้บริการทางการเงินที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งรวมถึง์ความเชื่อมั่นใน หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส และกองทุน โดยมุ่งเน้นที่ปฏิสัมพันธ์ของผู้ใช้บริการรายย่อยหรือผู้ใช้บริกาารระดับสถาบันและก้าวไปสู่การสร้างระบบนิเวศทางการเงินระดับโลกที่ซับซ้อน

EBC Financial Group - ใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบจาก CIMA

ศูนย์กลางทางการเงินชั้นนำของโลก

หมู่เกาะเคย์แมนเป็นหนึ่งในห้าศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลกและยังเป็นศูนย์กลางการธนาคารนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์ประกันภัยนอกชายฝั่งที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย เป็นแหล่งรวม 90% ของธนาคารทั่วโลกและมากกว่า 85% ของกองทุนป้องกันความเสี่ยง มีหน้าที่กำกับดูแลรายวันและมีขนาดทุนเกิน 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินระดับโลกและการสร้างระบบการจัดการชั้นยอด จึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก

หน่วยงาน CIMA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินที่เชื่อถือได้ของหมู่เกาะเคย์แมนที่ตั้งอยู่บนกรอบกฎหมาย

หน่วยงาน CIMA และใบอนุญาตประเภทได้รับการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ

นับตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยงาน CIMA มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบ เนื่องจากเกณฑ์การสมัครยังคงมีการปรับเปลี่ยนให้ได้มาตราฐานที่สมบูรณ์ที่สุดและการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ EBC Group ได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA และได้รับอำนาจการควบคุมแบบเต็มรูปแบบ เช่น การซื้อขาย   การรับประกันภัยและการสมัครสมาชิก   การจัดการระบบต่างๆ และการให้คำปรึกษา โดยผ่านการอนุมัติจากการกำกับดูแลที่เข้มงวดที่สุดของ CIMA และ ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดกรอบการทำงานของ Cayman SIB Act รับประกันความปลอดภัยของเงินทุนของนักลงทุนอย่างเต็มที่

รายการใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบของ EBC Financial Group

รายการใบรับรองการกำกับดูแลที่ได้รับอนุญาตและครบถ้วน ซึ่งมอบให้แก่ EBC Financial Group โดยสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และหมู่เกาะเคย์แมน

ด้วยการดำเนินการตามกฎระเบียบ MiFID II ทำให้ขนาดและขอบเขตของตลาดค้าปลีกจึงถูกจำกัดในระดับที่แตกต่างกัน หน่วยงาน CIMA เป็นสถาบันเดียวที่ให้เครื่องมือการลงทุนที่ยืดหยุ่นมากขึ้นและการกำกับดูแลที่ครอบคลุมแก่ผู้ใช้รายย่อย และมีสถานะที่สำคัญในระดับนานาชาติ

ใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA รวบรวมสถานะของ EBC ในฐานะกลุ่มการเงินชั้นนำของโลก ส่งเสริมการจัดสรรสินทรัพย์ข้ามเขตอำนาจศาลของ EBC และให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบที่ครอบคลุมมากขึ้นสำหรับการขยายบริการระดับโลก

การกำกับดูแลข้ามอย่างเข้มงวด

EBCปฏิบัติตามหลักปฏิบัติทางอุตสาหกรรมและมาตรฐานทางจริยธรรมที่เข้มงวดที่สุดเสมอเพื่อยับยั้งตัวเองและปกป้องความปลอดภัยของสินทรัพย์และการพัฒนามูลค่าของลูกค้าก่อนที่จะได้รับใบอนุญาตตามกฎระเบียบเต็มรูปแบบของ CIMA เดิมที EBC มีใบอนุญาตตามกฎระเบียบชั้นนำของโลกอยู่สองใบ:

  • EBC Financial Group (UK) Ltd ได้รับอนุญาตและควบคุมโดย UK Financial Conduct Authority (FCA) หมายเลขควบคุม: 927552
  • EBC Financial Group (Australia) Pty Ltd ได้รับอนุญาตและควบคุมโดย Australian Securities and Investments Commission (ASIC) หมายเลขควบคุม: 500991

รายการใบรับรองการกำกับดูแลเต็มรูปแบบของ EBC Financial Group

ในฐานะที่เป็นนายหน้าการซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำของโลก EBC ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ CIMAเท่านั้นแต่ยังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดและข้อบังคับของFCAในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วยและช่วยนักลงทุนให้มีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นผ่านข้ามระเบียบข้อบังคับ.

EBC Group มีบัญชีธนาคานิติบุคคลระดับองค์กรสูงสุดจาก Barclays Bank และหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกัน EBC Financial Group (Cayman) Limited และ EBC Financial Group (UK) Limitedปฏิบัติตามกฎระเบียบการคุ้มครองเงินทุนของลูกค้าอย่างเคร่งครัดและถือเงินทุนของลูกค้าไว้ในการดูแลอย่างอิสระที่ Barclays Bank ในสหราชอาณาจักรเและยังสามารถพลิดเพลินกับการรักษาความปลอดภัยระดับ AAAอีกด้วย

ขยายระบบนิเวศการค้าระดับโลก

หลังจากได้รับใบอนุญาตด้านกฎระเบียบเต็มรูปแบบอนุมัติโดย Cayman Financial Regulatory Authority (CIMA) แล้ว EBC Group จะสำรวจขอบเขตใหม่และขยายบริการที่หลากหลายและเป็นนวัตกรรมไปทั่วโลก

ในอนาคต EBC จะยึดมั่นในปณิธานดั้งเดิมและปฏิบัติตามมาตรฐานระดับสูงของ CIMA อย่างเคร่งครัด เพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนจะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงสร้างกลไกการรับประกันตามกฎระเบียบที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และส่งเสริมความไว้วางใจซึ่งกันและกันของอุตสาหกรรมและความโปร่งใสของข้อมู

เพราะ EBC เชื่อเสมอว่าทุกคนที่ค้าขายอย่างจริงจังสมควรได้รับบริการอย่างจริงจังจากเรา

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ EBC Financial Group กรุณาเข้าชมเว็บไซต์: https://www.ebc.com/.

เกี่ยวกับ EBC Financial Group
EBC Financial Group (EBC) ก่อตั้งขึ้นในย่านศูนย์กลางทางการเงินอันทรงเกียรติของกรุงลอนดอน มีชื่อเสียงในด้านชุดบริการที่ครอบคลุม   ซึ่งรวมถึง นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การจัดการสินทรัพย์ และโซลูชันการลงทุนที่หลากหลาย ด้วยสำนักงานที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ เช่น ซิดนีย์ ฮ่องกง โตเกียว สิงคโปร์ กรุงเทพมหานคร ลิมาซอล และอื่นๆ อีกมากมาย EBC มุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ บุคคลทั่วไป หรือสถาบันการเงินทั่วโลก

ได้รับรางวัลมากมาย EBC ภาคภูมิใจในการยึดมั่นในมาตรฐานทางจริยศาสตร์และกฎระเบียบระหว่างประเทศสูงสุด โดยบริษัทในเครือ EBC ได้รับการกำกับดูแล ดังนี้

  • EBC Financial Group (UK) Limited อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Financial Conduct Authority (FCA) แห่งสหราชอาณาจักร
  • EBC Financial Group (Australia) Pty Ltd อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Australian Securities and Investments Commission (ASIC) แห่งออสเตรเลีย
  • EBC Financial Group (Cayman) Limited อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Cayman Islands Monetary Authority (CIMA) แห่งหมู่เกาะเคย์แมน

หัวใจสำคัญของ EBC Group คือทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์กว่า 30 ปี ในสถาบันการเงินชั้นนำ   ซึ่งสามารถผ่านพ้นวัฏจักรเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ มาได้อย่างชาญฉลาด ตั้งแต่ข้อตกลงปลาซ่า ไปจนถึงวิกฤติสกุ
ลเงินฟรังก์สวิสในปี 2015 EBC ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับความซื่อสัตย์ ความเคารพ และความปลอดภัยของสินทรัพย์ของลูกค้าเพื่อให้แน่ใจว่าการมีส่วนร่วมกับนักลงทุนทุกคนได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังตามที่ควรจะเป็น

ติดต่อฝ่ายสื่อสารองค์กร
Douglas Chew
+6011 3196 6887
douglas.chew@ebc.com

สามารถรับชมรูปภาพประกอบของการแถลงนี้ได้ที่:

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/91e6abd0-80e6-4fec-b2d8-9d31ea416203

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/f2c6c812-dfe4-4c9f-9910-59b56a3b23f4

GlobeNewswire Distribution ID 9080861

Core Specialty เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้วยโซลูชัน SaaS บนคลาวด์ของ Duck Creek ผ่านทาง Microsoft Azure Marketplace

Duck Creek ได้กำหนดนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์ของลูกค้า และลดความซับซ้อนของการทำธุรกรรมสำหรับบริษัทประกันภัยที่เน้นเทคโนโลยี เช่น Core Specialty ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับ Microsoft

บอสตัน, March 27, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Duck Creek Technologies ผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่กำหนดอนาคตของทรัพย์สินและอุบัติเหตุ (P&C) และการประกันภัยทั่วไป ได้เน้นย้ำ Core Specialty ในฐานะลูกค้ารายแรกที่ทำธุรกรรมการสมัครสมาชิก Duck Creek OnDemand บนตลาดเชิงพาณิชย์ของ Microsoft เพื่อใช้ Microsoft Azure Consumption Commitment (MACC) ที่มีให้บริการ

Duck Creek และ Microsoft กำลังปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและปรับปรุงธุรกรรมสำหรับบริษัทประกันภัยที่เน้นเทคโนโลยีเป็นหลัก ดังเช่น Core Specialty ในฐานะที่ Core Specialty เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมประกันภัย จึงตระหนักถึงคุณค่าเชิงกลยุทธ์ของการได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการ (software-as-a-service หรือ SaaS) ผ่านทาง Azure Marketplace แนวทางนี้ช่วยให้ Core Specialty สามารถใช้การชำระค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการของ Duck Creek เป็นเครดิตให้กับ MACC และลดความซับซ้อนของกระบวนการเรียกเก็บเงินผ่านใบแจ้งหนี้รวม

ในฐานะที่ Core Specialty เป็นบริษัทประกันภัยที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีซึ่งคลุกคลีอยู่กับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับประโยชน์จากการให้บริการของ Duck Creek ในตลาดเชิงพาณิชย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง Duck Creek และ Microsoft ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับบริษัทประกันภัยในด้านความสามารถในการปรับขนาด ความปลอดภัย และความยั่งยืน รวมถึงการเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและเกิดใหม่

“เรามีความภาคภูมิใจในการสนับสนุน Core Specialty บนเส้นทางสู่การเติบโต นวัตกรรม และความเป็นเลิศในการบริการสำหรับทั้งลูกค้าและพันธมิตรการจัดจำหน่ายผ่านโซลูชันระดับโลกและความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของเรา” Mike Jackowski ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Duck Creek Technologies กล่าว “การตัดสินใจเปิดตัวโซลูชัน Duck Creek ใน Microsoft Azure Marketplace ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์และเพิ่มมูลค่ามหาศาลให้กับบริษัทประกันภัย โดยการปรับความสัมพันธ์และการลงทุนระหว่าง Duck Creek และ Microsoft ให้เข้ากับผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพ”

“ชัยชนะของ Duck Creek กับ Core Specialty Insurance แสดงให้เห็นถึงโอกาสอันยิ่งใหญ่ของพันธมิตรในการสร้างสิ่งต่าง ๆ บน Microsoft Azure และการขายโซลูชันผ่าน Azure Marketplace ส่งผลให้กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงระบบคลาวด์ของ Core Specialty ทั่วทั้งผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์บริการและโซลูชันที่ทำธุรกรรมได้นั้นมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเน้นย้ำพลังของการทำงานร่วมกัน โดยที่ผู้ให้บริการเทคโนโลยีและบริษัทประกันภัยที่มีความคิดก้าวหน้ามารวมตัวกันเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านการประกันภัย ในขณะที่เรายังคงเสริมศักยภาพให้กับอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ยังเป็นตัวอย่างให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของระบบคลาวด์และระบบนิเวศทางธุรกิจของพันธมิตรของ Microsoft” Karen Del Vescovo ผู้ให้บริการด้านการเงินด้านต้นทุน ปริมาณ และกำไร (CVP) ของ Microsoft กล่าว

“ที่ Core Specialty ความทุ่มเทของเราในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและนายหน้าของเรานั้นไม่เปลี่ยนแปลง” Jeff Consolino ผู้ก่อตั้ง ประธาน และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Core Specialty กล่าว “ด้วยความสัมพันธ์ของเรากับ Duck Creek และ Microsoft เราได้เน้นย้ำในการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ความสัมพันธ์นี้จะช่วยให้เรารักษาความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ได้”

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Azure Marketplace และดูว่าบริษัทประกันภัยที่มีเครดิตของ Microsoft Azure Consumption Commitment (MACC) สามารถใช้จ่ายเครดิตกับโซลูชัน OnDemand ของ Duck Creek ซึ่งรวมถึงนโยบาย การให้คะแนน การเรียกเก็บเงิน การเรียกร้อง ผู้ผลิต ข้อมูลเชิงลึก การจัดการการจัดจำหน่าย และเนื้อหาในอุตสาหกรรมได้อย่างไร

เกี่ยวกับ Core Specialty

Core Specialty นำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยเฉพาะทางที่หลากหลายสำหรับบริษัทขนาดเล็กถึงขนาดกลาง บริษัทมุ่งเน้นไปที่ตลาดเฉพาะ การจัดจำหน่ายในท้องถิ่น และความรู้ที่เหนือกว่าในการรับประกันภัย โดยนำเสนอโซลูชันการประกันภัยแบบดั้งเดิมและแบบนวัตกรรมใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและนายหน้า โดยดำเนินงานจากสำนักงานรับประกันภัยซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา Core Specialty เป็นบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นประกันภัยที่ดำเนินงานผ่าน StarStone Specialty Insurance Company ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยด้านค่าเสียหายส่วนแรกและส่วนเกินของสหรัฐอเมริกา และ StarStone National Insurance Company, Lancer Insurance Company และ Lancer Insurance Company of New Jersey ซึ่งแต่ละแห่งเป็นบริษัทประกันในตลาดที่ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกา และ Standard Life and Accident Insurance Company ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต อุบัติเหตุ และสุขภาพ หน่วยงานประกันภัยของ Core Specialty ทั้งหมดได้รับการจัดอันดับจาก AM Best ในระดับ A- (ดีเยี่ยม) สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Core Specialty ได้ที่ www.corespecialty.com

เกี่ยวกับ Duck Creek Technologies

Duck Creek Technologies คือผู้ให้บริการโซลูชันอัจฉริยะที่กำหนดอนาคตของทรัพย์สินและอุบัติเหตุ (P&C) และอุตสาหกรรมประกันภัยทั่วไป เราเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สร้างระบบประกันภัยสมัยใหม่ ซึ่งช่วยให้อุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากพลังของระบบคลาวด์เพื่อการดำเนินการที่คล่องตัว ชาญฉลาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความถูกต้อง วัตถุประสงค์ และความโปร่งใสเป็นหัวใจสำคัญของ Duck Creek และเราเชื่อว่าการประกันภัยควรมีให้สำหรับบุคคลและธุรกิจในเวลา ในสถานที่ และในเหตุผลที่พวกเขาต้องการมากที่สุด โซลูชันชั้นนำของตลาดของเรามีจำหน่ายแบบแยกเดี่ยวหรือเป็นแบบทั้งชุด และผลิตภัณฑ์ทั้งหมดมีจำหน่ายผ่านทาง Duck Creek OnDemand กรุณาไปที่ www.duckcreek.com เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม ติดตาม Duck Creek บนช่องทางโซเชียลของเราเพื่อรับข้อมูลล่าสุดได้ผ่านทาง LinkedIn และ X

ติดต่อด้านสื่อ:
Dennis Dougherty
dennis.dougherty@duckcreek.com

GlobeNewswire Distribution ID 9080239

Ambiq Apollo510 มอบการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน 30 เท่าเพื่อปลดปล่อยขุมพลัง AI ปลายทาง

Apollo เจเนอเรชันถัดไปจับคู่การเร่งความเร็วเวกเตอร์กับประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ไม่มีใครเทียบได้ เพื่อให้สามารถนำการอนุมานด้วย AI ส่วนใหญ่ไปใช้บนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องใช้ NPU เฉพาะ

จุดเด่นของคุณสมบัติ

  • Apollo510 ซึ่งใช้ Arm Cortex-M55 มอบประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้น 30 เท่า และประสิทธิภาพที่เร็วขึ้น 10 เท่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
  • ความสามารถในการทำงาน AI/ML พร้อมกันกับกราฟิกที่ซับซ้อน แอปพลิเคชันเสียงคุณภาพโทรคมนาคม และการประมวลผลเสียง/เซ็นเซอร์ที่ทำงานตลอดเวลา
  • NVM บนชิป 4 MB, SRAM บนชิป 3.75 MB และอินเทอร์เฟซแบนด์วิธสูงสำหรับหน่วยความจำนอกชิป
  • GPU 2.5D พร้อมการเร่งกราฟิกแบบเวกเตอร์เพื่อกราฟิกที่สดใส คมชัด และราบรื่น เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม 3.5 เท่าเมื่อเทียบกับตระกูล Apollo4 Plus
  • รองรับจอแสดงผล Memory in Pixel (MiP) ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์ที่ใช้พลังงานต่ำที่สุด
  • การรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งบนแพลตฟอร์ม secureSPOT® ของ Ambiq พร้อมเทคโนโลยี Arm TrustZone

ออสติน เท็กซัส, March 27, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Ambiq ผู้นำเทคโนโลยีด้านเซมิคอนดักเตอร์ประหยัดพลังงานเป็นพิเศษสำหรับอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) กำลังเปิดตัว Apollo510 ตัวใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของตระกูลผลิตภัณฑ์ระบบบนชิปของ Apollo5 (Apollo5 SoC) ซึ่งได้รับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อย่างมีเอกลักษณ์ในการเริ่มต้นยุคสมัยของ AI ที่แพร่หลาย ใช้งานได้จริง และมีความหมายอย่างแท้จริง

Apollo510 MCU เป็นการยกเครื่องฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมดซึ่งใช้ประโยชน์จาก CPU Arm® Cortex®-M55 พร้อม Arm Helium™ อย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ความเร็วการประมวลผลสูงสุด 250MHz Apollo510 มีความหน่วงที่ดีขึ้นถึง 10 เท่า ในขณะที่ลดการใช้พลังงานลงประมาณ 2 เท่า เมื่อเทียบกับ Apollo4 ซึ่งเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานรุ่นก่อนของ Ambiq การผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่น่าพอใจนี้ช่วยให้ลูกค้าของเราปรับใช้โมเดล AI คำพูด การมองเห็น สุขภาพ และอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนบนอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่ได้ทุกที่ ทำให้เป็นเซมิคอนดักเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตลาดที่จะทำงานร่วมกับ Arm Cortex-M55

“ที่ Ambiq พวกเราได้ผลักดันแพลตฟอร์ม SPOT ซึ่งกรรมสิทธิ์ของเราเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อสนับสนุนลูกค้าของเรา โดยกำลังเพิ่มความอัจฉริยะและความซับซ้อนของอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่อย่างจริงจังทุกปี” Scott Hanson ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ก่อตั้ง Ambiq กล่าว ในขณะเดียวกัน MCU Apollo510 ตัวใหม่ถือเป็นผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงสุดที่เราเคยสร้างขึ้นมา”

“เนื่องจากแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ อุตสาหกรรม และบ้านอัจฉริยะมีความก้าวหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ความต้องการ AI ที่ปลอดภัยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอุปกรณ์รุ่นต่อไป” Paul Williamson รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสายธุรกิจอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของ Arm กล่าว “ตระกูลผลิตภัณฑ์ระบบบนชิป (SoC) ใหม่ของ Ambiq ซึ่งสร้างบน Arm จะมอบประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับ AI บนอุปกรณ์ จึงช่วยให้นักพัฒนาและผู้ผลิตอุปกรณ์ส่งมอบความสามารถที่จำเป็นสำหรับยุค AI ได้”

ด้วยการปรับปรุงพลังงานมากกว่า 30 เท่า Apollo510 จึงสามารถรันการคำนวณ AI ปลายทางส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ รวมถึงการตรวจสอบเซ็นเซอร์ที่ใช้พลังงานต่ำ คำสั่งเสียงที่ทำงานตลอดเวลา การปรับปรุงคุณภาพเสียงด้านโทรคมนาคม และอีกมากมาย ผู้ผลิตอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งที่ทำการอนุมานด้วย AI/ML เช่น อุปกรณ์สวมใส่ยุคถัดไป อุปกรณ์สุขภาพดิจิทัล แว่นตา AR/VR ระบบอัตโนมัติในโรงงาน และอุปกรณ์ตรวจสอบระยะไกล สามารถเพิ่มขยายงบประมาณด้านพลังงานได้อย่างมาก ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความสามารถเพิ่มเติมให้กับอุปกรณ์ของตนผ่านทางการออกแบบที่ปรับให้เหมาะสมโดยเฉพาะสำหรับ SPOT ของ Apollo510

Apollo510 มีคุณสมบัติทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนระบบอัจฉริยะ ซึ่งได้แก่: การประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ หน่วยความจำบนชิปที่ขยายให้มากขึ้น อินเทอร์เฟซแบนด์วิธสูงสำหรับหน่วยความจำนอกชิป และการรักษาความปลอดภัย เทคโนโลยี Arm Helium บน Apollo510 รองรับ MAC ได้สูงสุด 8 เครื่องต่อรอบ รวมถึงการดำเนินการจำนวนจุดลอยตัวแบบความเที่ยงครึ่งเท่า แบบความเที่ยงหนึ่งเท่า และแบบความเที่ยงสองเท่า ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการคำนวณด้วย AI นอกเหนือจากการดำเนินการประมวลผลสัญญาณทั่วไป นอกจากนี้ Apollo510 ยังปรับปรุงความจุหน่วยความจำมากกว่ารุ่นก่อนหน้าด้วย NVM บนชิป 4 MB และ SRAM และ TCM บนชิป 3.75 MB ดังนั้นนักพัฒนาจึงมีการพัฒนาที่ราบรื่นและมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากขึ้น Apollo510 มีโฮสต์ของอินเทอร์เฟซนอกชิปแบนด์วิดท์สูง ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดที่ 500MB ต่อวินาที และคงความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้มากกว่า 300MB ต่อวินาที โดยคุณสมบัติดังกล่าวได้รับการออกแบบมาสำหรับโมเดลโครงข่ายประสาทเทียมหรือเนื้อหากราฟิกที่มีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ

Apollo510 สร้างบนแพลตฟอร์ม secureSPOT ของ Ambiq โดยผสานรวมเทคโนโลยี Arm TrustZone เข้ากับฟังก์ชันทางกายภาพที่ไม่สามารถโคลนได้ (Physical Unclonable Function หรือ PUF), OTP ที่ทนต่อการงัดแงะ และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ปลอดภัย การปรับปรุงเหล่านี้ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการดำเนินการที่เชื่อถือได้ (Trusted Execution Environment หรือ TEE) เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันที่ปลอดภัยและแข็งแกร่งและปรับขนาดผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น

ผู้ผลิตอุปกรณ์ปลายทางอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งสามารถคาดหวังประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ไม่มีใครเทียบได้เพื่อพัฒนาอุปกรณ์ที่มีความสามารถมากขึ้น ซึ่งประมวลผลฟังก์ชันที่ใช้ AI/ML ได้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยแอปพลิเคชันและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุปกรณ์สวมใส่ สุขภาพดิจิทัล เกษตรกรรม บ้านและอาคารอัจฉริยะ การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ระบบอัตโนมัติในโรงงาน และอีกมากมาย

ปัจจุบัน Apollo510 MCU กำลังอยู่ในช่วงทดลองใช้งานโดยลูกค้า โดยจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Embedded Awards จากชุมชน Embedded World Community ประจำปี 2024 ภายใต้หมวดฮาร์ดแวร์

พบกับเราได้ที่งาน Embedded World Exhibition and Conference ในวันที่ 9-11 เมษายน 2024 เพื่อชมการสาธิตผลิตภัณฑ์แบบสด

เกี่ยวกับ Ambiq
ภารกิจของ Ambiq คือการพัฒนาโซลูชันเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้พลังงานต่ำที่สุดเพื่อให้สามารถใช้งานอุปกรณ์อัจฉริยะได้ทุกที่ และสามารถขับเคลื่อนโลกที่ประหยัดพลังงาน ยั่งยืน และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้ดีมากขึ้น Ambiq ได้ช่วยผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลกในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้นานหลายสัปดาห์ด้วยการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง (แทนที่จะใช้งานได้หลายวัน) ในขณะเดียวกันก็นำเสนอชุดคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการออกแบบทางอุตสาหกรรมขนาดกะทัดรัดด้วย เป้าหมายของ Ambiq คือการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ไม่เคยมีมาก่อนมาใช้ในอุปกรณ์เคลื่อนที่เและอุปกรณ์พกพา โดยใช้โซลูชันระบบบนชิป (SoC) ระบบพลังงานต่ำพิเศษขั้นสูงของ Ambiq Ambiq มีการจัดส่งผลิตภัณฑ์ไปแล้วมากกว่า 230 ล้านชิ้น สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาไปที่ www.ambiq.com

ติดต่อ
Charlene Wan
รองประธานฝ่ายการสร้างแบรนด์ การตลาด และนักลงทุนสัมพันธ์
cwan@ambiq.com
1.512.879.2850

สามารถดูรูปภาพประกอบกับประกาศนี้ได้ที่:

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/d64aa7b3-31bb-457a-8a24-8fed2fbbea57

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/998624f8-ab5f-46a8-89df-53e125d82767

GlobeNewswire Distribution ID 9079855

XPENG ประกาศความร่วมมืออาเซียนในประเทศไทยและเปิดตัวในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, March 26, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — XPENG Motors (“XPENG” หรือเรียกว่า “บริษัท” NYSE: XPEV และ HKEX: 9868) ในวันนี้ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะชั้นนำของจีน (“Smart EV”) ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวครั้งล่าสุดในประเทศไทยกับบริษัท Neo Mobility Asia จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท Arun Plus Mobility Holdings จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PTT และบริษัท MGC-Asia GreenTech จำกัด

ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวย่างระดับนานาชาติของ XPENG ในการเข้าสู่อาเซียน และนำไปสู่การเปิดตัว XPENG อย่างเป็นทางการที่งาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 45

รายชื่อพันธมิตรใหม่ที่เข้ามาร่วมมือเพิ่มขึ้นจากการตลาดเชิงกลยุทธ์ของ XPENG ได้ร่วมมือกับ XPENG เพื่อนำรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะรุ่นล่าสุดของแบรนด์มาสู่ผู้บริโภคในท้องถิ่น ซึ่งรวมถึง Premium Automobiles จากสิงคโปร์ และ Bermaz Auto จากมาเลเซีย โดยการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศของ XPENG

กลยุทธ์การตลาดระดับโลกของ XPENG มุ่งเน้นไปที่การสร้างความร่วมมือกับผู้นำเข้า/ตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่น เพื่อสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่าย การขาย และการบริการระดับเฟิร์สคลาสในภูมิภาคต่าง ๆ James Wu รองประธานฝ่ายการเงินและสำนักงานสนับสนุนเชิงกลยุทธ์ต่างประเทศของ XPENG กล่าวว่า: “เราตั้งเป้าที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนแบรนด์ของเราในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจชั้นนำในภาคส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะในระดับโลก ด้วยการเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างมีกลยุทธ์และนำเสนอโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าที่หลากหลายซึ่งปรับให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในท้องถิ่น”

XPENG จะนำเสนอรถยนต์ G6 SUV ในประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย และเริ่มส่งมอบรถยนต์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 G6 ได้รับการพัฒนาสำหรับออกจำหน่ายในตลาดโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากแพลตฟอร์ม Smart Electric Platform Architecture (SEPA) 2.0 ที่เป็นวิวัฒนาการของ XPENG ซึ่งวางรากฐานสำหรับโมเดลการผลิตในอนาคต และในขณะเดียวกันก็ทำให้วงจรการพัฒนาสั้นลงและลดต้นทุนการผลิต

ติดต่อ:
สำหรับสื่อที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
Rosanne Wu
อีเมล: wuqr@xiaopeng.com

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/fd43fb89-f099-43a8-8023-6e766f3334b6

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/90de6d37-527d-4c09-8331-de5d18e2ef43

https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/c4094772-94dd-4b94-86fb-9affdf41a769

GlobeNewswire Distribution ID 9079449

เพื่อสนับสนุนความทุ่มเทในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทั่วโลก เหล่านักวิทยาศาสตร์ของ KFSH&RC ได้ค้นพบแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่: Riyadhensis

ริยาด, ซาอุดีอาระเบีย, March 26, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) —  นักวิทยาศาสตร์ที่ King Faisal Specialist Hospital and Research Centre (KFSH&RC) มุ่งสู่พัฒนาการที่ก้าวล้ำหน้า ด้วยการค้นพบแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ในชื่อ “Stenotrophomonas Riyadhensis” ผ่านเทคโนโลยีการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์และจุลลินทรีย์ทั้งจีโนม (whole-genome sequencing – WGS) การค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ในการศึกษาปฏิกิริยาของแบคทีเรียที่มีต่อยา ซึ่งจะปูทางไปสู่นวัตกรรมกลยุทธ์การรักษาใหม่ ๆ ในอนาคต ความทุ่มเทดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะทั่วโลก ช่วยเน้นย้ำถึงความสามารถด้านการวิจัยขั้นสูงของ KFSH&RC รวมถึงบทบาทการเป็นผู้นำในการสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และยกระดับการดูแลผู้ป่วย

การค้นพบ “Riyadhensis” ตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของการทดสอบจีโนมในการคิดค้นวิธีการวินิจฉัยและการรักษาที่ให้ผลในเชิงบวก ตลอดจนช่วยให้เข้าใจกลไกการดื้อต่อยาของแบคทีเรียได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ละเอียดอ่อน เช่น ห้องดูแลผู้ป่วยหนัก (ICU) และในผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง ความสำเร็จต่าง ๆ ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจนในการต่อสู้กับการดื้อยาปฏิชีวนะ การพัฒนายา และการป้องกันการแพร่กระจายของโรค

นักวิจัยค้นพบแบคทีเรียชนิดใหม่นี้ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับการระบาดที่ต้องสงสัยในห้อง ICU ของ KFSH&RC ในปี 2562 ซึ่งการค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการค้นหาและตอบโต้แบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ที่ชุมชนวิทยาศาสตร์และการแพทย์ทั่วโลกไม่เคยรับรู้มาก่อนได้อย่างชัดเจน แรกเริ่มนั้น เหล่านักวิจัยคิดว่าแบคทีเรียนี้เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ Pseudomonas aeruginosa ซึ่งเป็นแบคทีเรียก่อโรคที่เลื่องชื่อในด้านการดื้อต่อยาปฏิชีวนะ ทว่าการวิเคราะห์ WGS ในเวลาต่อมาเผยให้เห็นว่าแบคทีเรียนี้ไม่ได้มีลักษณะที่ร่วมกันกับสกุล Pseudomonas แต่กลับพบว่า Riyadhensis นั้นอยู่ในสกุล Stenotrophomonas ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมและลักษณะสัณฐานวิทยาอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแตกต่างจากเชื้อในสกุลตัวอื่น ๆ ที่ได้รับการยอมรับทางวิทยาศาสตร์มาแล้ว

ดร. Ahmad Al Qahtani หัวหน้าแผนกโรคติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน ประจำศูนย์วิจัยของ KFSH&RC กล่าวว่า: “วิธีระบุเชื้อแบคทีเรียแบบดั้งเดิมอาจนำไปสู่การระบุเชื้อที่ผิดพลาดได้ แต่การวิเคราะห์ WGS ให้วิธีการที่แม่นยำและตรงเป้าหมาย ช่วยให้มั่นใจในการระบุเชื้อที่แม่นยำ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการดื้อยาโดยละเอียด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญในการตรวจสอบการระบาดของโรคและยกระดับการดูแลผู้ป่วย”

ดร. Reem Almaghrabi หัวหน้าฝ่ายโรคติดเชื้อจากการปลูกถ่ายอวัยวะ ณ Organ Transplant Centre of Excellence ของ KFSH&RC เน้นย้ำความสำคัญของการค้นพบครั้งนี้ที่มีต่อการสนับสนุนการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง และการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น WGS ในการพัฒนาวิธีการวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ แนวทางนี้ยังเป็นการวางรากฐานด้านความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ในทุกระดับ เพื่อยกระดับความทุ่มเทในการต่อสู้กับการดื้อยาปฏิชีวนะในระดับโลกด้วย

การทำความเข้าใจความแตกต่างของแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการดื้อยาปฏิชีวนะนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นวิธีการต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญอีกด้วย เนื่องจากแบคทีเรียวิวัฒนาการความต้านทานของตนเองอย่างต่อเนื่อง เชื้อเหล่านี้จึงเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพมนุษย์มาอย่างต่อเนื่อง

ประเด็นที่น่าสนใจคือ KFSH&RC ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่หนึ่งในประเทศทวีปตะวันออกกลางและแอฟริกา และในอันดับที่ 20 ของโลกจากรายชื่อสถาบันดูแลสุขภาพชั้นนำกว่า 250 แห่งทั่วโลกซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันจากการจัดอันดับของ Brand Finance ประจำปี 2567 นอกจากนั้นแล้ว ในปีเดียวกัน ศูนย์แห่งนี้ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลกโดยนิตยสาร Newsweek อันทรงเกียรติอีกด้วย

King Faisal Specialist Hospital & Research Centre เป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านการให้บริการดูแลสุขภาพเฉพาะทาง การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการดำเนินการในฐานะศูนย์กลางการวิจัยและการศึกษาทางการแพทย์ขั้นสูง โรงพยาบาลมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ให้ก้าวหน้าและยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพทั่วโลกผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับสถาบันที่มีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และนานาชาติ

เกี่ยวกับ King Faisal Specialist Hospital & Research Centre (KFSH&RC):

King Faisal Specialist Hospital & Research Centre (KFSH&RC) ถือเป็นสถาบันดูแลสุขภาพชั้นนำในตะวันออกกลาง โดยมีเจตจำนงที่จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกรายที่กำลังต้องการการรักษาพยาบาลเฉพาะทาง โรงพยาบาลแห่งนี้มีประวัติอันยาวนานในการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ ประสาทวิทยาศาสตร์ และพันธุศาสตร์

ในปี 2567 “Brand Finance” ได้จัดอันดับให้ King Faisal Specialist Hospital & Research Center เป็นศูนย์วิชาการทางการแพทย์ชั้นนำในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา และติดหนึ่งใน 20 อันดับแรกของโลกด้วย นอกจากนี้ ในปี 2567 ศูนย์แห่งนี้ยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก จากนิตยสาร Newsweek และเป็นอันดับ 1 ใน KSA

มีการออกพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Saudi Vision 2030 เพื่อปฏิรูปโรงพยาบาลให้เป็นองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไรที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ ซึ่งปูทางไปสู่โครงการปฏิรูปที่ครอบคลุมเพื่อบรรลุผลสำเร็จในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพผ่านความเป็นเลิศและนวัตกรรม

ข้อมูลการติดต่อ

หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:

คุณ Essam Al-Zahrani รักษาการหัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชน 0555254429

คุณ Abdullah Al-Awn บรรณาธิการสื่ออาวุโส โทร 0556294232

สามารถดูรูปภาพประกอบประกาศนี้ได้ที่ https://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/c4299c01-0079-498b-8350-bd085d769150

GlobeNewswire Distribution ID 9079374

งาน Alimentaria&Hostelco ที่ใหญ่ที่สุดในโลกยืนยันถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมอาหารและความก้าวหน้าด้านนวัตกรรม

บาร์เซโลนา ประเทศสเปน, March 25, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Alimentaria&Hostelco ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มงานแสดงสินค้าชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์บริการด้านอาหารและการต้อนรับ ได้เสร็จสิ้นการจัดงานเมื่อวานนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมจากนานาชาติและธุรกิจที่มารวมตัวกันอีกครั้งจากทุกภาคส่วน และสร้างความก้าวหน้าให้แก่สายผลิตภัณฑ์หลักและแนวโน้มของอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนขึ้นและดีต่อสุขภาพมากขึ้น รวมทั้ง AI และโซลูชันหุ่นยนต์สำหรับช่องทางธุรกิจ Horeca ได้รับการนำเสนอตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 21 มีนาคมในงานอีเวนต์ที่จัดขึ้นในบาร์เซโลนา ประเทศสเปน

บริษัทที่จัดแสดงสินค้ามากกว่า 3,200 แห่งจาก 68 ประเทศได้มีส่วนร่วมในงานอีเวนต์ เพื่อสนับสนุนธุรกิจ การก้าวสู่ความเป็นสากล และการแข่งขันในภาคธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของเศรษฐกิจในประเทศสเปน ผู้ประกอบการระดับมืออาชีพประมาณ 107,900 คนได้มาเยี่ยมชมงาน โดย 25% จากจำนวนนี้เป็นผู้เข้าร่วมชาวต่างประเทศจาก 120 ประเทศ ด้วยตัวเลขผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ประมาณไว้ที่ 180 ล้านยูโร Alimentaria&Hostelco สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการจัดงานอีเวนต์ ซึ่งจัดขึ้นบนพื้นที่จัดแสดงสินค้าสุทธิเกือบ 100,000 m2 ที่ครอบคลุมเกือบทั้งสถานที่ของ Fira de Barcelona’s Gran Vía

บริษัทจากนานาชาติมากกว่า 900 แห่งได้มาเข้าร่วมในการจัดงานครั้งนี้ ซึ่งนำโดยบริษัทจากอิตาลี และการเข้าร่วมที่โดดเด่นจากบริษัทในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน เกาหลีใต้ และประเทศไทย

งานแสดงสินค้านี้ได้ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำโดยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาคธุรกิจที่การจัดงานได้เป็นตัวแทนนำเสนอ อีกทั้งเสนอแพลตฟอร์มธุรกิจที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้ประกอบการระดับมืออาชีพ ผู้ร่วมงานรวมถึงผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดซื้อ 2,200 รายที่ได้รับเชิญจากตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับการส่งออกอุปกรณ์บริการด้านอาหารและการต้อนรับ เช่น สหภาพยุโรป USA และละตินอเมริกา ซึ่งได้มีส่วนร่วมในการประชุมมากกว่า 13,500 ครั้งร่วมกับบริษัทต่างๆ

นวัตกรรมอาหาร ศาสตร์การทำอาหาร และความก้าวหน้าด้านโปรตีน รวมทั้งแนวโน้มล่าสุดในภาคธุรกิจการต้อนรับ คือหัวข้อหลักของโปรแกรมซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรมมากกว่า 350 รายการที่ Alimentaria&Hostelco ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญและเชฟที่มีชื่อเสียงเกือบ 700 คนมาเข้าร่วม

งานแสดงสินค้านี้เป็นการนำเสนอที่ดีเยี่ยมสำหรับนวัตกรรมหลายร้อยรายการ รวมถึงอาหารฟังก์ชันและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ นอกจากนี้ยังได้ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลที่กำลังดำเนินอยู่ในภาคธุรกิจนี้ และความเป็นไปได้ในการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆ และการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์เข้าในอุตสาหกรรม รวมถึงการให้บริการด้วยหุ่นยนต์และโซลูชันใหม่ๆ ที่จะยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้านอาหารและทรัพยากร การซ่อมบำรุง การให้บริการลูกค้า และความยั่งยืน

งานครั้งถัดไปของแพลตฟอร์มงานแสดงสินค้าที่ดำเนินงานโดย Fira de Barcelona จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 ถึง 26 มีนาคม 2026

ติดต่อสื่อประชาสัมพันธ์:
Susana Santamaria – Gloria Dilluvio
ssantamaria@alimentaria.comgdilluvio@firabarcelona.com

GlobeNewswire Distribution ID 1000931044

ประเทศจีนและฮ่องกงเป็นผู้นำจากเอเชียในการเข้าร่วมงาน Alimentaria&Hostelco 2024

แพลตฟอร์มงานแสดงสินค้าจะทำการจัดหนึ่งในงานที่มีบริษัทและมืออาชีพจากนานาชาติมาเข้าร่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ขึ้นในบาร์เซโลนา จากบริษัท 3,200 แห่งที่ร่วมจัดแสดงสินค้านั้น บริษัทจำนวน 900 แห่งมาจากนอกประเทศสเปน และ 25% ของผู้ที่คาดว่าจะมาเยี่ยมชมงาน 100,000 คนจะมาจากมากกว่า 120 ประเทศ ทำให้อยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งในฐานะแพลตฟอร์มชั้นนำของยุโรปสำหรับภาคธุรกิจ ตั้งแต่วันที่ 18 ถึง 21 มีนาคม ผู้เชี่ยวชาญและเชฟผู้ทรงเกียรติ 700 รายจะมาร่วมสนทนาเกี่ยวกับความท้าทายและแนวโน้มที่สำคัญของอุตสาหกรรม เช่น อาหารเชิงพันธภาพ (Functional Foods) ความยั่งยืนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกิจกรรมและการสาธิตมากกว่า 350 รายการ

บาร์เซโลนา ประเทศสเปน, March 20, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — การขยายโอกาสทางธุรกิจและการสร้างผลกระทบในระดับสากลคือวัตถุประสงค์หลักของ Alimentaria&Hostelco 2024 ซึ่งเป็นหนึ่งในงานอีเวนต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุปกรณ์การจัดเลี้ยงและธุรกิจการให้บริการ สำหรับผู้ประกอบการระดับมืออาชีพจากช่องทางการจัดจำหน่าย การค้าปลีก และธุรกิจโฮเรก้า (Horeca ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง) ซึ่งจะจัดขึ้นบนพื้นที่สุทธิ 100,000 ตารางเมตรที่ Fira de Barcelona’s Gran Via

นอกจากสเปนแล้ว ประเทศที่มีพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นอิตาลี ตามมาด้วยตุรกี จีนและฮ่องกง โปแลนด์ โปรตุเกส ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เยอรมนี เนเธอแลนด์ และอาร์เจนตินา การเข้าร่วมที่โดดเด่นคือประเทศจากเอเชียซึ่งนำโดยจีนและฮ่องกง นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจำนวนมากจากไต้หวัน ประเทศไทย และเกาหลีใต้

เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้มากที่สุด งานอีเวนต์ได้จัดโปรแกรมการส่งคำเชิญผู้มีบทบาทในการจัดซื้อ ซึ่งจะนำเอาผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย ผู้อำนวยการและผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อระดับสูงมากกว่า 2,200 รายมารวมตัวกัน ในบรรดาบุคคลดังกล่าวนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่งจะมาจากต่างประเทศจำนวน 98 ประเทศ ซึ่งนำโดยสหรัฐฯ เม็กซิโก จีน โปรตุเกส สหราชอาณาจักร โคลอมเบีย แคนาดา และเกาหลีใต้ และมีการวางแผนที่จะจัดการประชุมทางธุรกิจมากกว่า 13,000 รายการ

Alimentaria&Hostelco เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ที่สุดสำหรับหลายภาคธุรกิจ ซึ่งนำเสนอธุรกิจระดับสากลที่มีตัวแทนจากภาคธุรกิจเนื้อสัตว์ การบริการด้านอาหารและการต้อนรับที่ครอบคลุมมากที่สุด สำหรับงานในปีนี้จะมุ่งเน้นที่ช่องทางภาคธุรกิจโฮเรก้า (Horeca) และผนวกรวมข้อเสนอการจัดแสดงสินค้า International Restaurant, Hotel, Catering and Community Equipment and Machinery Show ของ Hostelco เข้ากับ Restaurama ซึ่งจัดแสดงโดย Alimentaria ผู้เชี่ยวชาญในการบริการด้านอาหาร นอกจากนี้จะมีการเพิ่มภาคธุรกิจใหม่ด้านกาแฟ เบเกอรี่และเพสตรี และการจัดเลี้ยงในพื้นที่สำหรับหมู่คณะเข้าในพื้นที่ขนาดใหญ่นี้ ซึ่งจะใช้พื้นที่ของศูนย์การแสดงสินค้าสามพาวิลเลียนจากจำนวนทั้งหมดเจ็ดพาวิลเลียน

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Alimentaria: Susana Santamaria ssantamaria@alimentaria.com
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Hostelco: Gloria Dilluvio gdilluvio@firabarcelona.com

หากสื่อมวลชนต้องการสอบถาม กรุณาติดต่อ:

Salvador Bilurbina
อีเมล: sbilurbina@firabarcelona.com
โทร: +34628162674

GlobeNewswire Distribution ID 1000930113

รายงานการพัฒนาล่าสุดในด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาทางคลินิกที่ EAACI Congress 2024 ในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน

EAACI Congress 2024
EAACI Congress 2024

EAACI Congress 2024

http://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/d32f0dd2-5510-4922-aead-62719b31e294

บาเลนเซีย, สเปน, March 19, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — European Academy of Allergy and Clinical Immunology (EAACI) ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 16,000 รายจาก 125 ประเทศ จัดให้มีการประชุมสมัชชาทุกปีเพื่อเปิดตัวการวิจัยล่าสุดและความก้าวหน้าทางนวัตกรรมด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาทางคลินิก เราตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะเชิญคุณเข้าร่วมการประชุม EAACI Congress 2024 ที่กำลังจะมาถึง โดยมีกำหนดจะจัดขึ้นที่บาเลนเซียตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคมถึง 3 มิถุนายน 2024
เพื่อมอบประสบการณ์อันล้ำลึกให้แก่คุณ เราขอเสนอพื้นที่สำหรับสื่อมวลชนโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามารถนัดสัมภาษณ์แพทย์และนักวิจัยชั้นนำในสาขานั้นได้

ลงทะเบียนฟรี

สถานที่ตั้ง:
สถานที่จัดงานของเราคือ Feria de Valencia ซึ่งเป็นศูนย์การประชุมและนิทรรศการอันทรงเกียรติที่มีชื่อเสียงเรื่องความทันสมัยและความอเนกประสงค์ นอกจากนี้ กิจกรรมจะจัดขึ้นที่เมืองบาเลนเซียอันแสนสดใสและเป็นที่ชื่นชมว่าสามารถผสานจารีตประเพณีเก่าแก่เข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว

โปรแกรม:
โปรแกรมวิทยาศาสตร์จะครอบคลุมขอบเขตทั้งหมดในด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาทางคลินิก ภายใต้หัวข้อหลักคือ “การปฏิวัติการดูแลผู้ป่วยด้วยพลังของวิทยาการข้อมูล” ขอรับรองว่าการประชุมใหญ่ของเราจะพาคุณสู่การเดินทางสุดพิเศษเพื่อเปิดรับความรู้ใหม่ๆ เรามีความยินดีที่จะนำเสนอโปรแกรมที่หลากหลาย เต็มไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งมีเซสชันทางวิทยาศาสตรกว่า 150 เซสชันที่จัดขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ข้อมูลและสร้างแรงบันดาลใจ

หัวข้อการประชุมใหญ่:

  • วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม: เข้าร่วมการสนทนาเพื่อทำความเข้าใจว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมทำให้โรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ และโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในประเทศอุตสาหกรรมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้อย่างไร
  • ภูมิแพ้อาหาร: ปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งมีความชุกของโรคเพิ่มขึ้นในเขตเมืองใหญ่และมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ เราจะหารือเกี่ยวกับแนวทางที่ล้ำสมัยในการจัดการกับภาวะภูมิแพ้อาหาร
  • นวัตกรรมในการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด: ค้นพบการพัฒนาที่จะปฏิวัตการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งเป็นขอบเขตที่จะเปลี่ยนแปลงภาพรวมของการรักษาโรคภูมิแพ้ เรียนรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าล่าสุดในการประยุกต์ใช้การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด
  • โรคภูมิแพ้ในเด็ก: สำรวจอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็กที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกและปัจจัยที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นี้ รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการริเริ่มระดับโลกในการจัดการกับโรคภูมิแพ้ในเด็ก และความพยายามร่วมกันเพื่อเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคภูมิแพ้

กลุ่มผู้นำทางความคิดของ EAACI
ในลิงก์นี้ คุณจะได้พบกับคณะกรรมการเฉพาะของเรา ซึ่งประกอบด้วยแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายเชื้อชาติ ที่พร้อมให้สัมภาษณ์และรายงานข้อมูล

ข่าวประชาสัมพันธ์: https://eaaci.org/news/

โซเชียลมีเดีย:

พอดแคสต์: https://linktr.ee/eaaci
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/eaaci/
Instagram: @eaaciHQ
Twitter: @EAACI_HQ
Facebook: https://www.facebook.com/EAACI
ติดต่อ: communications@eaaci.org

แฮชแท็ก: #EAACIannualCongress

GlobeNewswire Distribution ID 1000929992

แผนกลยุทธ์สำหรับแพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa เวอร์ชันล่าสุดมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือองค์กรและหน่วยงานภาครัฐในการจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับ AI

Quantexa Limited

Quantexa รองรับกระแสที่เพิ่มขึ้นอย่างมากขององค์กรที่ใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ และ AI เพื่อขจัดระบบการทำงานแบบแยกส่วน

  • ด้วยความร่วมมือกับ Microsoft ทำให้แพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa นั้นพร้อมใช้งานทันทีบน Microsoft Azure Marketplace บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างโซลูชันเฉพาะบน Azure
  • การแสดงตัวอย่างเทคโนโลยีแสดงให้เห็นถึงแผนการอันทะเยอทะยานของ Quantexa ในการเร่งการปรับใช้แพลตฟอร์ม โซลูชัน และ Generative AI (ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ได้เกือบเทียบเท่ามนุษย์) ในหมู่ผู้ใช้ทางธุรกิจ ข้อมูล และผู้เชี่ยวชาญด้านไอที
  • ลูกค้าของ Lighthouse นำ Q Assist™ ซึ่งเป็นตัวช่วย Generative AI มาใช้งานตั้งแต่ระยะแรก ๆ

ลอนดอน, March 14, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — Quantexa ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชันตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะสำหรับภาครัฐและเอกชน ใช้ฉากหลังของงาน QuanCon24 ซึ่งเป็นการประชุมลูกค้าและพันธมิตรประจำปี เพื่อเปิดเผยแผนกลยุทธ์สำหรับแพลตฟอร์ม Decision Intelligence และให้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ Q Assist ซึ่งเป็นตัวช่วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ได้เกือบเทียบเท่ามนุษย์ที่มีการนำเสนอตัวอย่างไปเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว นอกจากนี้ Quantexa ยังประกาศความร่วมมือกับ Microsoft ด้วย Dan Higgins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Quantexa ร่วมมือกับ Kate Rosenshine ผู้อำนวยการด้านเทคโนโลยีระดับโลกฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Microsoft ทั้งสองฝ่ายได้ประกาศความพร้อมใช้งานทันทีของแพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa บน Microsoft Azure Marketplace และวางแผนที่จะนำโซลูชัน AI เฉพาะระบบคลาวด์ใหม่มาใช้งานสำหรับธนาคารขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา

โดยให้ความสำคัญในด้านนวัตกรรมและความสามารถใหม่ ๆ

แผนการอันทะเยอทะยานของ Quantexa ในการเป็นผู้นำหมวดหมู่ตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะที่เกิดขึ้นใหม่นั้น มีรากฐานมาจากการช่วยเหลือองค์กรธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้การวิเคราะห์เชิงบริบทและ AI เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจทั่วทั้งองค์กร Quantexa มุ่งเน้นการใช้งานจริงบนโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าในการวางแผนการปรับใช้เทคโนโลยีในอนาคต Gartner® คาดการณ์ว่า “ภายในปี 2027 เนื้อหาการวิเคราะห์ใหม่ 75% จะได้รับการจัดบริบทสำหรับแอปพลิเคชันอัจฉริยะผ่าน Generative AI ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่ประกอบขึ้นจากหลายส่วนระหว่างข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการ”*

บริษัทได้แสดงความสามารถของแพลตฟอร์มในการใช้ AI เพื่อสร้างรากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ และเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีขึ้นให้กับกระบวนการตัดสินใจที่มีอยู่ ในขณะเดียวกันก็บูรณาการเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่มีอยู่ของลูกค้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของ Quantexa

Dan Higgins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Quantexa กล่าวว่าเมื่อพูดถึงแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีของ Quantexa เราได้รับคำแนะนำจากความต้องการของลูกค้าและความทะเยอทะยานในการเป็นผู้นำด้านตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราเพื่อช่วยลูกค้าของเราขจัดระบบการทำงานแบบแยกส่วนขององค์กร เพื่อสร้างรากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้เกิดการตัดสินใจโดยอัตโนมัติที่ขยายขอบเขตในวงกว้าง และสนับสนุนการประเมินและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตลอดกระบวนการตัดสินใจ ด้วยการเปิดตัวความสามารถและโซลูชันใหม่ ๆ เรายังคงมุ่งเน้นอย่างแน่วแน่ในการส่งมอบนวัตกรรมที่ก้าวล้ำซึ่งช่วยปกป้อง เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างการเติบโตให้แก่องค์กรได้”

Quantexa มุ่งเน้นเสาหลักแผนกลยุทธ์สำคัญสี่ประการ

  • การขับเคลื่อนการตัดสินใจของมนุษย์/AI: Quantexa ยังคงริเริ่มสร้างสรรค์โซลูชันและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้งานแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและ AI ได้ เพื่อทำให้ตรรกะการตัดสินใจทางธุรกิจนั้นดำเนินการโดยอัตโนมัติในแอปพลิเคชันต่าง ๆ Quantexa กำลังอัปเดตแพลตฟอร์มให้มีความสามารถด้านการจัดการกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการให้คะแนน การแจ้งเตือน และรูปแบบการตัดสินใจใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้ Quantexa เปิดตัวความสามารถในการจัดการกรณีใหม่ของแพลตฟอร์ม และการอัปเดตการใช้งาน Q Assist ในระยะแรก ซึ่งลูกค้าในหน่วยงานธนาคาร โทรคมนาคม และหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ในโครงการนำร่องเพื่อจัดการกับอาชญากรรมทางการเงิน การฉ้อโกง และความเสี่ยง และเพื่อระบุโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ด้วยข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า
  • การดำเนินการกับข้อมูลในขอบเขตเฉพาะด้วย AI และการวิเคราะห์เชิงบริบท: ความสามารถของ Quantexa ในการช่วยลูกค้าสร้างรากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการใช้ประโยชน์จากมุมมองของลูกค้ารายเดียวยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนอันดับต้น ๆ ของการนำแพลตฟอร์มไปใช้งาน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นและความซับซ้อนของภาคอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตัว Quantexa ได้นำเสนอความก้าวหน้าในการจัดการข้อมูล การวิเคราะห์เชิงบริบท และความสามารถด้าน AI Quantexa แสดงตัวอย่างความสามารถที่ล้ำหน้ากว่าการใช้ข่าวกรองเพื่อรองรับการนำเข้าและการวิเคราะห์แหล่งข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างใด ๆ ผ่านการจำแนกเอนทิตี และส่งมอบความสามารถให้แก่ลูกค้าในการเปิดใช้งานการวิเคราะห์กราฟขนาดใหญ่และการเรียนรู้ของเครื่องสร้างกราฟโดยการรวมรูปแบบภาษาขนาดใหญ่ (LLM) และกราฟความรู้
  • การเร่งระยะเวลาในการสร้างมูลค่าผ่านการปรับใช้ที่ไม่ซับซ้อนและโซลูชันแบบแพ็กเกจ: Quantexa ได้ประกาศตัวเลือกใหม่เพื่อให้ลูกค้าและพันธมิตรเริ่มต้นและใช้งานโซลูชันได้ง่ายขึ้นด้วยวิธีการปรับใช้ใหม่ ๆ ซึ่งรวมถึงคำแนะนำในการกำหนดค่าที่พร้อมใช้งานทันที ตลอดจนเครื่องมือที่ที่ใช้รหัสน้อยหรือไม่ใช้รหัสเลย ในปีนี้ Quantexa ยังลงทุนในการเร่งการส่งเสริมระบบนิเวศที่กำลังเติบโตของพันธมิตร ซึ่งรวมถึง PWC, EY, Dun & Bradstreet, KPMG และ Moody’s ซึ่งมีการนำเสนอให้แก่พันธมิตรที่ QuanCon24
  • การบูรณาการกระบวนการและชุดเทคโนโลยีที่ลูกค้ามีอยู่ได้อย่างราบรื่น: แพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa มีสถาปัตยกรรมแบบเปิดที่สามารถขยายตัวได้ พร้อมด้วย API ที่ปรับขนาดได้ และการบูรณาการกับแอปพลิเคชันและระบบปลายทางที่มีประสิทธิภาพ ความพยายามในอนาคตจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างกรอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานและตัวเชื่อมต่อที่พร้อมใช้งานทันที

Quantexa นำแพลตฟอร์ม Decision Intelligence และโซลูชันมาเปิดตัวบน Azure ด้วยความร่วมมือกับ Microsoft

จุดเด่นของระยะแผนกลยุทธ์ของ Quantexa ในอีเวนต์วันนี้คือการประกาศความร่วมมือครั้งใหม่ระหว่าง Quantexa กับ Microsoft จุดเด่นมีดังต่อไปนี้:

  • ความพร้อมใช้งานทันทีของแพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa บน Azure Marketplace: ขณะนี้แพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa พร้อมใช้งานแล้วทั่วโลกบน Azure Marketplace สำหรับลูกค้าในส่วนของบริการทางการเงิน ภาครัฐ การประกันภัย และโทรคมนาคม อุตสาหกรรมสื่อและเทคโนโลยี
  • นวัตกรรม AI ช่วยให้ธนาคารขนาดกลางสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบและรับมือกับแรงกดดันของตลาดได้: นอกจากนี้ Quantexa ยังวางแผนที่จะสร้างโซลูชัน SaaS ใหม่เฉพาะสำหรับ Azure ซึ่งช่วยให้ลูกค้าปรับใช้โซลูชันการตรวจสอบธุรกรรม การสืบสวน และการจัดการกรณีเกี่ยวกับการป้องกันการฟอกเงิน (AML) แบบครบวงจร ที่ออกแบบมาเพื่อรวมความสามารถที่ดีที่สุดในภาคธุรกิจระดับเดียวกันที่ใช้งานเฉพาะในธนาคารรายใหญ่ที่สุดของโลกไว้ในข้อเสนอที่ปรับให้เหมาะสมเพื่อตอบสนองความต้องการของสถาบันบริการทางการเงินที่มีสินทรัพย์สูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โซลูชันดังกล่าวจะส่งมอบความสามารถที่สำคัญในการติดตาม ตรวจจับ และสืบสวนอาชญากรรมทางการเงินและความเสี่ยงให้แก่ธนาคารต่าง ๆ ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา ข้อเสนอตามแผนที่วางไว้จะช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีรุ่นถัดไปได้ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้าตามทันนวัตกรรมที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นได้ Quantexa กำลังทำงานร่วมกับ Microsoft เพื่อจัดทำชุดความสามารถเบื้องต้นให้พร้อมใช้งานภายในสิ้นปี 2024

Dan Higgins ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Quantexa กล่าวว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะได้กลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ดังที่นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมหลายรายระบุไว้ แต่ตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะถือเป็นหัวใจสำคัญของเรามาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ที่ Quantexa ในขณะที่เรามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาการนำเสนอเทคโนโลยีของเราเพื่อช่วยให้องค์กรและหน่วยงานภาครัฐใช้การวิเคราะห์เชิงบริบทและ AI เพื่อปรับปรุงการตัดสินใจ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นแผนกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีล่าสุดของเรานั้นดำเนินการได้จริง ความร่วมมือครั้งใหม่ของเรากับ Microsoft ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบโซลูชันที่เข้าถึงได้ให้แก่ลูกค้า และเราจะยังคงดำเนินการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องและตอบสนองลูกค้าในขอบเขตที่พวกเขาต้องการ”

Tyler Pichach ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ด้านบริการทางการเงินของ Microsoft กล่าวว่า “องค์กรบริการทางการเงินมีความชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในแง่ของความสำเร็จในการรับมือกับความผันผวนของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งจะสร้างความจำเป็นในการใช้ข้อมูลที่เชื่อถือได้และ AI เพื่อขยายและทำให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการหลายพันรายการที่องค์กรดังกล่าวทำในแต่ละวันนั้นดำเนินไปโดยอัตโนมัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล การจัดการกับอาชญากรรมทางการเงิน หรือการระบุโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ เรามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง Quantexa เพื่อทำให้แพลตฟอร์ม Decision Intelligence พร้อมใช้งานบน Microsoft Azure Marketplace ผลักดันโซลูชันเฉพาะระบบคลาวด์ใหม่ไปสู่กลุ่มตลาดที่ใหญ่ขึ้น และขับเคลื่อนนวัตกรรมร่วมกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าของเราในหลายภาคอุตสาหกรรมรับมือกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาได้”

หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมว่าองค์กรของคุณสามารถใช้ตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะได้อย่างไร หรือต้องการอ่านข้อมูลเกี่ยวกับ Total Economic Impact™ ของ Forrester ในแพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa โปรดไปที่นี่ หากต้องการดูสมัยการประชุมจาก QuanCon24 ตามที่คุณต้องการ โปรดไปที่เว็บไซต์ QuanCon

*Gartner, Predicts 2024: How Artificial Intelligence Will Impact Analytics Users โดย Edgar Macari, Peter Krensky, Afraz Jaffri, David Pidsley, Aura Popa, Mike Fang, Rita Sallam, Julian Sun, Radu Miclaus วันที่ 4 มกราคม 2024

GARTNER เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนและเครื่องหมายบริการของ Gartner, Inc. และ/หรือบริษัทในเครือในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ และได้รับอนุญาตให้นำมาใช้งานในที่นี้ สงวนลิขสิทธิ์

เกี่ยวกับ Quantexa
Quantexa เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ระดับโลก ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มแพลตฟอร์ม Decision Intelligence ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์กรในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินงานที่เชื่อถือได้โดยการทำให้ข้อมูลนั้นมีความหมาย แพลตฟอร์มตัวช่วยการตัดสินใจอัจฉริยะของ Quantexa สามารถค้นพบความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่และโอกาสใหม่ ๆ โดยการให้มุมมองที่เชื่อมต่อกันตามบริบทของข้อมูลทั้งภายในและภายนอกในที่เดียวโดยใช้ความก้าวหน้าล่าสุดในข้อมูลขนาดใหญ่และปัญญาประดิษฐ์นั้น ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความท้าทายที่สำคัญในการจัดการข้อมูล การทำความรู้จักกับลูกค้าของคุณ (KYC) ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า อาชญากรรมทางการเงิน ความเสี่ยง การฉ้อโกง และความปลอดภัย ตลอดวงจรชีวิตของลูกค้า

แพลตฟอร์ม Decision Intelligence ของ Quantexa เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และความละเอียดของรูปแบบการวิเคราะห์ที่เร็วขึ้น 60 เท่าเมื่อเทียบกับวิธีการแบบเดิม Quantexa ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ในปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 700 คน และผู้ใช้หลายพันรายที่ทำงานเกี่ยวกับธุรกรรมและจุดรวบรวมข้อมูลหลายพันล้านรายการทั่วโลก บริษัทมีสำนักงานในลอนดอน ดับลิน บรัสเซลส์ มาลากา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นิวยอร์ก บอสตัน โทรอนโต ซิดนีย์ เมลเบิร์น และโตเกียว

การสอบถามข้อมูลสื่อ

ติดต่อ: Stephanie Crisp รองผู้อำนวยการและนักวางกลยุทธ์สื่อ Fight or Flight
E: Quantexa@fightflight.co.uk

ติดต่อ: Adam Jaffe รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดขององค์กร
โทรศัพท์: +1 609 502 6889
อีเมล: adamjaffe@quantexa.com

ดูรูปภาพที่ใช้ประกอบการประกาศนี้ได้ที่ http://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/36fa5c1e-cba8-4a4c-9272-191148c797aa

GlobeNewswire Distribution ID 1000929084